"ความเป็นมาของการตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎก และ อรรถกถา ภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย"

แสวง อุดมศรี

      พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์หลักที่มีความสำคัญที่สุดต่อพระพุทธศาสนา เพราะได้ประมวลพระพุทธพจน์อันเป็นสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้อย่างครบถ้วน และสมบูรณ์ที่สุด ยิ่งกว่าคัมภีร์อื่นใด นอกจากนี้ พระไตรปิฎก ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องยืนยันถึงวัสสายุกาลของพระพุทธศาสนาว่าได้อุบัติขึ้น และดำรงอยู่สืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานเพียงใด ดังนั้น พระไตรปิฎก จึงนับเป็นมรดกอันล้ำค่าที่พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าทั้งที่เป็น บรรพชิต และคฤหัสถ์ควรจะได้ช่วยกันเชิดชู ทะนุบำรุง และหมั่นศึกษาพระปริยัติสัทธรรมให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วเพิ่มพูนพระปฏิบัติสัทธรรมให้เกิดมีขึ้นในจิตใจของตน ๆ เพื่อจะได้เป็นปัจจัยให้ได้ดื่มอมตรสแห่งพระปฏิเวธสัทธรรมชั้นสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
     มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งคณะสงฆ์ไทยเป็นสถาบันการศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูงสำหรับพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสถาปนาขึ้นไว้ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ โดยชั้นเดิมพระราชทานนามว่า มหาธาตุวิทยาลัย และได้เปิดการศึกษาตั้งแต่วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๒ เป็นต้นมา ครั้นถึงวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้โปรดพระราชทานเปลี่ยนนาม มหาธาตุวิทยาลัย เป็น มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อให้เป็นที่เฉลิมพระเกียรติยศสืบไป*(* ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓ แผ่นที่ ๒๔ วันที่ ๒๐ กันยายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๕. น. ๒๖๓-๒๖๘)
ต่อมาวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ พระมหาเถรานุเถระฝ่ายมหานิกายทั่วราชอาณาจักรจำนวนทั้งหมด ๕๗ รูป ได้ประชุมร่วมกัน ณ ตำหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุ โดยมีพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทตฺตเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุองค์ที่ ๑๕ เจ้าคณะตรวจการภาค ๑ และสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การสาธารณูปการ เป็นประธาน เพื่อปรึกษาหารือในอันที่จะเปิดมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยสนองพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่รัชกาลที่ ๕ ผลการประชุมปรึกษาหารือปรากฏว่า ทุกท่านต่างมีความเห็นร่วมกันเป็นสมานฉันท์ให้เปิดสถาบันการศึกษาแห่งนี้ ให้เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งคณะสงฆ์ไทยต่อไป และได้เปิดการศึกษาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา ตราบเท่าปัจจุบัน ซึ่งการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ สามารถเอื้ออำนวยคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนาและประเทศชาติจนสุดที่จะคณานับได้ ดังเป็นที่ประจักษ์กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    มหาจุฬาเตปิฏก หรือที่เรียกชื่อเป็นภาษาไทยว่า พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เกิดขึ้นจากความดำริ และความปรารถนาอันแรงกล้าของ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) ในอันที่จะสนองพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ทรงสถาปนามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อให้เป็นสถาบันการศึกษาพระไตรปิฎก และวิชาชั้นสูงสำหรับพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย กล่าวคือในขณะนั้น (พ.ศ. ๒๔๙๖) ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จ ฯ ยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรม และดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ สภานายกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ได้รับมอบหมายจากคณะสังฆมนตรีให้เป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ไทยเดินทางไปประเทศสหภาพพม่า เพื่อร่วมกับพระมหาเถระจากประเทศต่าง ๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทพิจารณาโครงร่างงานฉัฏฐสังคายนา โดยรัฐบาลและคณะสงฆ์ของประเทศสหภาพพม่าได้เตรียมงานส่วนนี้ไว้ล่วงหน้า ก่อนจะถึงกำหนดการประกอบพิธีฉัฏฐสังคายนา ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๗ -๒๕๐๐
     การพิจารณาโครงร่าง ฯ ดังกล่าว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ และพระมหาเถระจาก ประเทศต่าง ๆ มีความเห็นร่วมกันว่า ขอให้รัฐบาลของประเทศสหภาพพม่าแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งเรียกชื่อว่า คณะกรรมการฉัฏฐสังคายนาโอวาทาจริยสังฆนายก โดยขอความร่วมมือไปยังรัฐบาลและคณะสงฆ์ จากประเทศอินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา ไทย ลาว และเขมร เพื่อให้ส่งผู้แทนไปร่วมเป็นกรรมการพิจารณาเตรียมการ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ขั้น* (* กรมการศาสนา : ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ภาค ๒, โรงพิมพ์การศาสนา,พ.ศ. ๒๕๒๕, น. ๒๘๔-๒๘๗) คือ

        ๑. ขั้นเตรียมงาน คือ การรวบรวมพระคัมภีร์จากประเทศของตน ๆ พร้อมทั้งดำเนินการตรวจชำระพระคัมภีร์นั้น ๆ ให้ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด
        ๒. ขั้นปฏิบัติการ คือ การเปรียบเทียบ พระคัมภีร์ฉบับต่าง ๆ เช่น ฉบับของไทย ฉบับของพม่า ฉบับจารึกหินอ่อนที่มันดะเล ฉบับของสิงหล และฉบับของอังกฤษ คือฉบับ Pali Text Society
        ๓. ขั้นรับรอง คือการประกอบพิธีรับรอง งานที่ได้จัดทำไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คณะสังฆมนตรีทราบ พร้อมทั้งเสนอขออนุมัติจากคณะสังฆมนตรีเพื่อให้ส่ง พระธรรมธีรราชมหามุนี (ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี ปุณฺณกมหาเถร) วัดจักรวรรดิราชาวาส เดินทางไปร่วมเป็นกรรมการฉัฏฐสังคายนาโอวาทาจริยสังฆนายก ตามที่รัฐบาลของประเทศสหภาพพม่ามีหนังสือขออาราธนามา คณะสังฆมนตรีได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ และมีมติให้ส่งพระสงฆ์ไทยจำนวน ๕ รูป เข้าร่วมเป็นกรรมการดังกล่าว โดยมอบหมายให้พระธรรมธีรราชมหามุนี เป็น หัวหน้าคณะ ซึ่งพระธรรมธีรราชมหามุนีพร้อม ด้วยพระอนุจรอีก ๑ รูป ได้ออกเดินทางจาก ประเทศไทยไปประเทศสหภาพพม่า เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ ส่วนพระสงฆ์ไทย อีก ๔ รูปนั้น คณะสังฆมนตรีจะพิจารณาคัดเลือกส่งตามไปในภายหลัง
        จากนั้นเป็นต้นมา คณะสงฆ์ไทยหลาย คณะก็ได้เดินทางไปร่วมงานฉัฏฐสังคายนาที่ประเทศสหภาพพม่าอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์นั้น นอกจากจะเดินทางไปร่วมงานดังกล่าวมากที่สุดถึง ๑๖ ครั้งแล้ว ท่านยังเป็นกำลังสำคัญที่สุดรูปหนึ่งในการประสานงานให้การประกอบพิธีฉัฏฐสังคายนาครั้งนั้นสำเร็จลุล่วงลงด้วยดีตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ จนท่านกลายเป็นพระมหาเถระชาวไทยรูปแรกที่รัฐบาลและคณะสงฆ์ตลอดจนพุทธศาสนิกชน ชาวพม่าพากันถวายความเคารพนับถือด้วยความสนิทใจ และพลอยทำให้รัฐบาลและคณะ สงฆ์ของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีความคลางแคลงใจกันมาตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน ได้หันกลับมามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันสืบต่อมาตราบเท่าปัจจุบันอีกด้วย
การมีโอกาสเดินทางไปร่วมงานฉัฏฐสังคายนาที่ประเทศสหภาพพม่าตั้งแต่เบื้องต้นติดต่อกันมานั้น ทำให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เริ่มประจักษ์แก่ใจมากขึ้นว่าพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ทรงสถาปนามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยขึ้นมา ก็เพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง แต่พระไตรปิฎกของไทยเรายังขาดความสมบูรณ์และมีความคลาดเคลื่อนอยู่หลายแห่ง น่าจะได้มีการตรวจชำระ และจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ให้เป็นฉบับของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อให้มีความสมบูรณ์และอำนวยความสะดวกแก่การศึกษาค้นคว้าของพระนิสิตและนักเรียนมหาจุฬา ฯ ต่อไป แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้ศาสนบัณฑิต ผู้มีความรู้ และเงินเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ควร ปล่อยวางหรือเพิกเฉยโดยไม่คิดทำอะไรเลย ถ้าจะค่อยทำค่อยไปก็น่าจะทำให้การตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับนี้สำเร็จลงได้เหมือนกัน
ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๙ คณะพระเปรียญที่อยู่จำพรรษา ณ วัดต่าง ๆ ทั้งใน พระนครและธนบุรีได้รวมตัวกันก่อตั้ง สภาเปรียญแห่งประเทศไทย ขึ้นมา เพื่อร่วมกันดำเนินกิจกรรมอันจะเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติในวงกว้างออกไป โดยพระมหาพรหมา ปญฺญาทีโป ป.ธ. ๙ (ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระปิฎกโกศล เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๐ ต่อมาลาสิกขา คือนายพิทูร มลิวัลย์ ถึงแก่กรรมแล้ว) วัดมหาธาตุ ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาเปรียญแห่งประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อบริหารงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ๔ ประการ* (*ระเบียบข้อบังคับสภาเปรียญแห่งประเทศไทย, โรงพิมพ์การพิมพ์พาณิชย์,พ.ศ. ๒๕๐๑, น. ข-ค) คือ
        ๑. เพื่อเป็นศูนย์สัมพันธ์และส่งเสริมสามัคคีธรรมของเปรียญทั่วประเทศ
        ๒. เพื่อเป็นศูนย์กลางส่งเสริมการศึกษาและเกียรติฐานะของเปรียญ
        ๓. เพื่อเป็นศูนย์กลางส่งเสริมสังคหธรรม
        ๔. เพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแผ่ศาสนธรรมทั้งในและนอกประเทศ ภายหลังจากที่ได้ประกาศใช้ระเบียบข้อบังคับสภาเปรียญแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้ว พระเถระผู้ใหญ่หลายรูปต่างมีความปริวิตกเป็นอย่างมากด้วยเกรงว่า สภาเปรียญแห่ง ประเทศไทยจะเป็นชนวนก่อปัญหาให้การปกครอง คณะสงฆ์เกิดความยุ่งยากมากขึ้น จึงได้ขอร้องเป็นการส่วนตัวให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่งเป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองอยู่ในขณะนั้น ได้ช่วยติดตามและควบคุมการดำเนินกิจกรรมของสภาเปรียญแห่งประเทศไทย อย่างใกล้ชิดด้วย
ต่อมาท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เรียก พระมหาพรหมา ปญฺญาทีโป มาพบ และสอบถามว่าพวกเธอมีความคิดอย่างไรจึงพากันตั้งสภาฯ นี้ขึ้นมา จะพากันทำอะไร จะเอาสำนักงานไปตั้งอยู่ที่ไหน พระผู้ใหญ่ไม่สบายใจต่อการกระทำของพวกเธอมาก และคงไม่มีใครอนุญาตให้สำนักงานของพวกเธอไปตั้ง อยู่ในวัดของเขาหรอก แต่ภายหลังจากที่ พระมหาพรหมา ปญฺญาทีโป ได้กราบเรียนถึง แนวความคิด วัตถุประสงค์และข้อเท็จจริงทุกอย่างให้ทราบโดยละเอียดแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงกล่าวว่า เอาอย่างนี้ ให้เธอไปรวบรวมเพื่อนๆ ที่เป็นเปรียญสูงๆ มา จะยังเป็นพระอยู่หรือลาสิกขาไปแล้วก็ได้ หลวงพ่อจะมอบหมายให้พวกเธอช่วยกันตรวจชำระพระไตรปิฎกและอรรถกถาให้เป็นฉบับของมหาจุฬาฯ ขอให้ช่วยกันตรวจชำระให้มีความสมบูรณ์และสะดวกต่อการศึกษาค้นคว้าเช่นเดียวกับพระไตรปิฎกฉบับฉัฏฐ สังคายนาให้ได้ ส่วนเงินค่าใช้จ่ายในการตรวจชำระและจัดพิมพ์นั้นหลวงพ่อจะรับผิดชอบเอง หลวงพ่อเชื่อมั่นว่างานที่มอบหมายให้พวกเธอทำนี้ จะเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติต่อไปในอนาคต และคงไม่มีพระผู้ใหญ่รูปใดตั้งข้อรังเกียจอย่างแน่นอน เมื่อผู้มีศรัทธาทราบเรื่องนี้แล้วก็มีแต่จะพากันนำเงินมาถวาย ข้อสำคัญขอให้พวกเธอเสียสละเวลามาช่วยกันทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ ก็แล้วกัน
        พระมหาพรหมา ปญฺญาทีโป ได้ติดต่อรวบรวมเพื่อนๆ และผู้ที่เคารพนับถือทั้งที่ เป็น บรรพชิตและคฤหัสถ์หลายท่าน เช่น พระครูสุวิมลธรรมาจารย์ วัดมหาธาตุ (พระสุวิมลธรรมาจารย์ : ผ่อง สุวิมุตฺโต ป.ธ.๖ มรณภาพแล้ว) พระมหาเกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ. ๙ วัดสระเกศ (ปัจจุบัน คือท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ อุปเสณมหาเถร) พระมหาพลอย ญาณสํวโรป.ธ. ๙ วัดเทพธิดาราม (ปัจจุบันคือ พระสุทธิวงศาจารย์ ญาณสํวรเถร) พระมหาบุญมา คุณสมฺปนฺโน ป.ธ. ๙ (ปัจจุบันคือ พระธรรมวโรดม คุณสมฺปนฺนเถร)นายทอง หงส์ลดารมย์ ป.ธ. ๖ นายเกษม บุญศรี ป.ธ. ๗ นายทินกร ทองเศวต ป.ธ. ๙ และนายสิริ เพ็ชรไชย ป.ธ. ๙ เป็นต้น จากนั้นจึงได้นำรายชื่อกราบเรียนเสนอแด่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งท่านก็ให้ความเห็นชอบและอนุมัติให้ดำเนินการได้ โดยให้ใช้หอปริยัติ คณะ ๑ วัดมหาธาตุ เป็นสถานที่ตรวจชำระต่อไป

วัตถุประสงค์

        ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และผู้มีรายชื่อดังกล่าว ได้ประชุมปรึกษาหารือกันเป็นเบื้องต้น และต่างมีความคิดเห็นร่วมกันว่า พระไตรปิฎก ที่จะตรวจชำระและจัดพิมพ์ขึ้นใหม่นี้ให้ชื่อว่า มหาจุฬาเตปิฏก หรือเรียกชื่อเป็นภาษาไทยว่า พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยกำหนดวัตถุประสงค์ในการตรวจชำระและจัดพิมพ์ไว้ ๓ ประการ* (* นิทานพจน์พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, น. ค-ฆ) คือ
        ๑. เพื่อสนองพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ผู้ทรงสถาปนามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชา ชั้นสูงสำหรับพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย
        ๒. เพื่อให้มีพระไตรปิฎกฉบับที่สมบูรณ์และ มีปริมาณเพียงพอต่อการศึกษาและค้นคว้าของ พระนิสิตและนักเรียนของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
        ๓. เพื่อให้เป็นอนุสรณ์มหามงคลสมัย ๒๕ พุทธศตวรรษ

หลักเกณฑ์การตรวจชำระ
        การตรวจชำระ มหาจุฬาเตปิฏก หรือ ที่เรียกชื่อเป็นภาษาไทยว่า พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการตรวจชำระไว้ว่าให้ทำการตรวจสอบเทียบเคียงอย่างละเอียดถี่ถ้วนกับพระไตรปิฎกฉบับต่างๆ ทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ เช่น พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ พระไตรปิฎกฉบับฉัฏฐสังคายนา พระไตรปิฎกฉบับอักษรสิงหล และพระไตรปิฎกฉบับอักษรโรมันของ Pali Text Society เป็นต้น เพื่อให้พระไตรปิฎกฉบับที่ตรวจชำระขึ้นใหม่นี้มีความสมบูรณ์และถูกต้องที่สุด ทั้งอรรถและพยัญชนะ พร้อมทั้งพิจารณาตั้งย่อหน้าให้มากขึ้น และตั้งชื่อวรรค ชื่อสูตรไว้ให้ปรากฏชัดเจน         เพื่อความสะดวกในการศึกษาค้นคว้าของพระนิสิตนักเรียนของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและผู้ที่สนใจจะศึกษาค้นคว้าได้ง่ายขึ้นส่วนกรณีที่มีความแตกต่างกันทั้งในด้าน เนื้อความและการใช้ศัพท์ของพระไตรปิฎกแต่ละฉบับ เมื่อตรวจสอบแน่นอนแล้ว ก็ให้ทำเชิงอรรถบอกที่มาของพระไตรปิฎกฉบับนั้นๆ กำกับไว้ให้ชัดเจน โดยกำหนดให้ใช้อักษรย่อในการทำเชิงอรรถของพระไตรปิฎกแต่ละฉบับ ไว้ดังต่อไปนี้

สงฺเกตวิญฺญาปนํ 

 

คำย่อ
เท่ากับ
พระไตรปิฎกฉบับ
อ้างอิง
=
เกสุจิ สยามโปตฺถเกสุ
ทิสฺสมานปาโฐ
กมฺ.
=
กมฺโพชโปตฺถเก
ทิสฺสมานปาโฐ
ฉ.
=
ฉฏฺฐสงฺคีติปิฏเก
ทิสฺสมานปาโฐ
ม.
=
มรมฺมโปตฺถเก
ทิสฺสมานปาโฐ
=
สยามรฏฺ€สฺส เตปิฏเก
ทิสฺสมานปาโฐ
สี.
=
สีหฬโปตฺถเก
ทิสฺสมานปาโฐ
อิ.
=
อิงฺคลิสโปตฺถเก
ทิสฺสมานปาโฐ

นอกจากนี้ก็ได้พิจารณาถึงการใช้เครื่องหมาย บังคับอักษรตัวสะกดและตัวสังโยคควบกล้ำ ซึ่งในการปริวรรตพระไตรปิฎกฉบับอักษรขอม มาเป็นฉบับอักษรไทยปัจจุบันที่จัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นั้น ได้กำหนดให้ใช้เครื่องหมาย ” อ์ “ (ไม้วัญฌการหรือไม้ทัณฑฆาต) บังคับอักษรตัวสะกด เช่น กิจ์จํ, ตัป์ปติ ปุจ์ฉิส์สามิ ฯลฯ และกำหนดให้ใช้เครื่องหมาย ” “ (ไม้ยมักการ) บังคับอักษร ตัวสังโยคควบกล้ำ เช่น กัตวา ปัญหํ พราหมโณ ฯลฯ แต่ในการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งต่อๆ มา ได้กำหนดให้ใช้เครื่องหมาย ” . “(พินทุ) วางไว้ใต้อักษรทั้งที่เป็นตัวสะกดและตัวสังโยคควบกล้ำเหมือนกัน เช่น กิจ์จํ เขียนเป็น กิจฺจํ, ตัป์ปติ เขียนเป็น ตปฺปติ, ปุจ์ฉิส์สามิ เขียนเป็น ปุจฺฉิสฺสามิ ฯลฯ และ กัตวา เขียนเป็น กตฺวา, ปัญหํ เขียนเป็น ปญฺหํ, พฺราหมฺโณ เขียนเป็น พฺราหฺมโณ ฯลฯ
        การพิจารณาเกี่ยวกับเครื่องหมายที่ใช้บังคับอักษรตัวสะกดและตัวสังโยคควบกล้ำนี้ได้กระทำกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบเป็นพิเศษ ซึ่งในที่สุดทุกท่านก็มีความเห็นร่วม กันให้กำหนดใช้เครื่องหมาย ” . ” (พินทุ) เขียน บังคับไว้ใต้อักษรตัวสะกด เช่น กิจ์จํ เขียนเป็น กิจฺจํ, ตัป์ปติ เขียนเป็น ตปฺปติ ปุจ์ฉิส์สามิ เขียนเป็น ปุจฺฉิสฺสามิ ฯลฯ เหมือนกับเครื่องหมายที่กำหนดใช้ในการจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ครั้งต่อๆ มา              ส่วนเครื่องหมายที่ใช้บังคับอักษรตัวสังโยคควบกล้ำนั้น ได้กำหนดให้ใช้เครื่องหมาย ” ” เขียนไว้ใต้อักษรตัวสังโยคควบกล้ำนั้นๆ เช่น กัตวา เขียนเป็น กตฺวา ปัญหํ เขียนเป็น ปญฺหํ พราหมโณ เขียนเป็น พฺราหฺมโณ ฯลฯ
สำหรับการใช้เครื่องหมาย ” ” บังคับอักษร ที่เป็นตัวสังโยคควบกล้ำซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และศาสนบัณฑิตที่เป็นบรรพชิตและ คฤหัสถ์ดังกล่าว ได้พิจารณากำหนดใช้ในการ ตรวจชำระมหาจุฬาเตปิฏก หรือพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้น ทุกท่านต่างมีความเห็นสอดคล้องกันในอันที่จะรักษาความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในคัมภีร์สัทศาสตร์ คือ
             ๑. พยัญชนะทั้ง ๔ คือ ย ร ล ว ซึ่งถือว่า ย มาจาก อิ, ร มาจาก ฤ, ล มาจาก  และ ว มาจาก อุ
             ๒. ห อักษรซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะที่เป็นวัคคันตะ (อักษรตัวสุดท้ายของแต่ละวรรค) ยกเว้นตัว ง ได้แก่ ญ ณ น ม และพยัญชนะ ที่เป็นอันตัฏฐะ ๔ ตัว คือ ย ร ล ว รวมทั้งหมด ๘ ตัวนี้ ท่านกล่าวไว้ว่าเกิดแต่อก เรียก อุรสิช หรือ โอรส
             ๓. ส อักษรซึ่งมีสำเนียงเป็น อุสุมพยัญชนะทั้ง ๓ ประเภทนี้ เมื่อเป็นตัว สังโยคควบกล้ำกับพยัญชนะตัวใดก็ตาม ในการ ตรวจชำระมหาจุฬาเตปิฏก หรือพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนี้ จึงกำหนด ให้ใช้เครื่องหมาย ” ” เขียนไว้ใต้พยัญชนะตัว นั้นๆ ทุกแห่ง เช่น กยาหํ, กตร, เกลส, กวจ, ตณหิ, นหาสิ, อสุมห, มุยหเต วุลหเต อวหิโต รูฬหี และอายสมา หรืออายสมโต เป็นต้น
             ส่วนการจัดพิมพ์นั้นได้กำหนดให้ตีพิมพ์สระและพยัญชนะอักษรไทยเทียบเคียงกับสระ และพยัญชนะอักษรโรมัน และตัวเลขไทยเทียบเคียงกับตัวเลขอาระบิคกำกับไว้ทุกเล่ม เพื่อสะดวกแก่การถ่ายทอดและเทียบเคียงกับตัวอักษรของภาษาอื่นอีกด้วย สำหรับจำนวนพิมพ์ได้กำหนดให้ตีพิมพ์ ๒,๕๐๐ ชุด เท่ากับพุทธศักราช ๒๕๐๐ ชุดหนึ่งมีจำนวน ๔๕ เล่ม เท่ากับระยะกาลประกาศพระพุทธศาสนาของ พระพุทธเจ้า โดยแบ่งเป็นพระวินัยปิฎก ๘ เล่ม พระสุตตันตปิฎก ๒๕ เล่ม และพระอภิธรรมปิฎก ๑๒ เล่ม เมื่อพระไตรปิฎกฉบับนี้ตีพิมพ์เสร็จ เรียบร้อย ๒,๕๐๐ ชุด ชุดละ ๔๕ เล่มแล้ว จะเป็นหนังสือจำนวนทั้งหมดถึง ๑๑๒,๕๐๐ เล่ม

             ดังนั้น เมื่อตกลงในหลักการร่วมกันเกี่ยวกับ การตั้งชื่อ กำหนดวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ ในการตรวจชำระและจัดพิมพ์ไว้อย่างเป็นกิจลักษณะแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) ได้มีลิขิตถวายพระพรแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อทรงนำความกราบบังคมทูลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยรับโครงการตรวจชำระพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในโอกาสอันควรต่อไป จากนั้นท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งสภานายกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่งตั้งศาสนบัณฑิตผู้ทรงคุณวุฒิทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ซึ่งมีรายชื่อส่วนหนึ่งดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ให้เป็นคณะกรรมการตรวจชำระและจัดพิมพ์มหาจุฬาเตปิฏก หรือพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยต่อไป โดยเริ่มดำเนินการตรวจชำระตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา

 ปัญหาและอุปสรรค

             การคิดทำงานใหญ่ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ อันกว้างใหญ่ไพศาล ถือเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินที่จะต้องมีปัญหา และอุปสรรคเข้ามาผจญ แบบทวีตรีคูณเป็นเงาตามตัว ถ้าจะพิจารณาในด้านดีแล้ว ปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวก็มีลักษณะคล้ายกับเป็นมารตามบีบคั้นให้ผู้คิด ทำงานใหญ่ต้องบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ประการ* (* ขุ.พุทธ. (ฉบับมหาจุฬา ฯ) ๓๓/๗๖/๔๔๖) ไปในตัวให้เพิ่มมากขึ้น หากมิเช่นนั้นก็คงไม่สามารถทำงานใหญ่ให้สำเร็จประโยชน์อันกว้างใหญ่ไพศาลได้เลยโครงการตรวจชำระมหาจุฬาเตปิฏก หรือ พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถ้าพิจารณาตามหลักการแล้ว ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์อันกว้างใหญ่ไพศาลต่อพระพุทธศาสนา และประเทศชาติจนสุดที่จะคณานับได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงต้องมีปัญหาและอุปสรรคเข้ามาผจญหลากหลายรูปแบบทำให้ต้องเพิ่มความพิถีพิถันในการตรวจชำระและอื่นๆ มากยิ่งขึ้นเมื่อโครงการตรวจชำระมหาจุฬาเตปิฏก หรือพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทั้ง ๓ พระองค์ทรงเจริญพระราชศรัทธาด้วยการพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ พระองค์ละ ๗๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นพระราชทรัพย์จำนวน ๒๑๐,๐๐๐ บาท พระราชทานให้เป็นทุนเบื้องต้นสำหรับ ตีพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับนี้ต่อไป
             พระราชทรัพย์จำนวนดังกล่าว นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันประเสริฐที่นำความ ปลื้มปีติมาให้แก่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์อย่างหาที่เปรียบเทียบมิได้ และนับเป็นมูลเหตุสำคัญที่คณะกรรมการ ทุกท่านจักต้องเพิ่มวิริยะอุตสาหะในการตรวจชำระให้มากขึ้น จนสามารถดำเนินการตรวจชำระ และตีพิมพ์พระอภิธรรมปิฎก ธมฺมสงฺคณิปาลิ สำเร็จเป็นปฐมฤกษ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุครบ ๖๐ พระวัสสา จึงนับว่ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ประกาศพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสนองพระราชศรัทธาแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ให้กึกก้องกังวาน ไปทั่วทุกทิศานุทิศ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
             แต่แล้วโครงการตรวจชำระ ฯ ซึ่งเริ่มทำท่าว่าจะดำเนินไปด้วยความราบรื่น ก็มีเหตุให้ต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ ชนิดที่ใครต่อใครต่างพากันตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึงว่า เรื่องร้ายแรงเช่นนี้มีสาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไรกันแน่ ? ทำไมจึงต้องตามมาผจญกันในรูปแบบเช่นนี้..ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) ผู้ยึดถืออุดมคติประจำใจว่า จงชนะความร้ายด้วยความดี เริ่มผจญกับพญามารผู้ปรากฏร่างอยู่ในภาวะเดียว กันนับตั้งแต่วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นมา จนเป็นเหตุให้ท่านต้องถูกถอดยศ ปลดตำแหน่ง และถูกจับกุมคุมขังให้ต้องเสวยวิบากกรรมติดต่อกันเป็นเวลานานถึง ๔ ปีเศษ*(อ่านระเอียดของเรื่องนี้ใน พระพิมลธรรม (อาสภมหาเถร) : ผจญมาร, เทพนิมิตรการพิมพ์, พ.ศ. ๒๕๒๖)
             ในช่วงที่พญามารกำลังแผลงฤทธิ์อยู่นี้ กรรมการหลายท่านหมดกำลังใจและค่อยๆ ปลีกตัวออกไป ในขณะที่กรรมการประเภท ใจถึงอีกหลายท่าน ไม่ยอมทอดทิ้งงาน และยังช่วยกันตรวจสอบชำระต่อไป แต่งานก็ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เพราะขาดผู้รับผิดชอบในระดับสูงที่จะสั่งการให้งานตรวจชำระและจัดพิมพ์ดำเนินไปอย่างเป็นกิจลักษณะได้ พร้อมกันนี้ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แพร่ไปในกลุ่มชนชั้นสูงว่าคณะกรรมการฯ มิได้นำพระราชทรัพย์ ที่เหลืออีกจำนวน ๑๔๐,๐๐๐ บาท ไปใช้จ่ายให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ แต่กลับนำไปใช้จ่ายในด้านอื่นหมดแล้ว
             ท่านผู้หญิงดิษฐการภักดี (ดร. สายหยุด เก่งระดมยิง) ซึ่งเป็นศิษย์ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างจริงจังคนหนึ่งของพระราชสิทธิมุนี (พระธรรมธีรราชมหามุนี : โชดก ญาณสิทฺธิเถร ป.ธ. ๙ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่าย วิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุ มรณภาพแล้วเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๑) และมีความเคารพเลื่อมใสในท่านเจ้าประคุณสมเด็จ พระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) เป็นอย่างมาก เมื่อได้ทราบข่าวที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันดังกล่าว แล้วก็เกิดความไม่สบายใจ จึงไปนมัสการถามพระปิฎกโกศล (พรหมา ปญฺญาทีโป ป.ธ. ๙) และพระสุวิมลธรรมาจารย์ (ผ่อง สุวิมุตฺโต ป.ธ. ๖) ว่าความจริงของเรื่องนี้เป็นอย่างไร เมื่อได้ทราบว่าพระราชทรัพย์ที่พระราชทานมานั้นยังอยู่ครบถ้วนทุกประการ จึงได้ขอร้องให้ดำเนินการตีพิมพ์พระไตรปิฎกขึ้นมาอีกสองเล่ม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลสนองพระราช ศรัทธาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยเร็ว เพื่อจะได้ขจัดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวให้หมดสิ้นไป
             เมื่อพระเถระทั้งสองรูปได้ทราบความวิตกกังวลของท่านผู้หญิงดิษฐการภักดีแล้ว จึงได้ปรึกษาหารือกับกรรมการท่านอื่นๆ อย่าง ละเอียดรอบคอบ ในที่สุดทุกท่านมีความเห็นร่วมกันให้ตีพิมพ์พระไตรปิฎกสองเล่มที่ตรวจชำระถูกต้องแล้ว กล่าวคือได้ตีพิมพ์พระวินัยปิฎก มหาวิภงฺคปาลิ (ปฐมภาค) ถวายเป็นพระราชกุศลสนองพระราชศรัทธาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตีพิมพ์พระสุตตันตปิฎกทีฆนิกาย สีลกฺขนฺธวคฺคปาลิ ถวายเป็นพระราชกุศลสนองพระราชศรัทธาแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ สำเร็จเรียบร้อย ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ นั้นเอง
             พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่ง พ้นจากการเสวยวิบากกรรมแล้วได้ประมาณหนึ่งปีเศษได้นิมนต์และเชิญผู้ที่ยังเคารพนับถือ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์มาประชุมปรึกษาหารือ เพื่อจัดหาทุนทรัพย์มาเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกที่ตรวจชำระเสร็จเรียบร้อย ไปหลายเล่มแล้ว ในที่สุดทุกท่านมีความเห็นให้ กราบทูลแด่ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (ปุณฺณสิริมหาเถร) วัดพระเชตุพน แต่ครั้งยังทรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระวันรัต เพื่อขอให้ทรงเป็นองค์ประธานคณะกรรมการอุปถัมภ์ ซึ่งพระองค์ก็ได้โปรดประทานพระเมตตาด้วยความเต็มพระทัย โดยทรงแต่งตั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์หลายท่านเป็นกรรมการฝ่ายหาทุน มี พระครูประกาศสมาธิคุณ (สังเวียน ญาณเสวี) วัดมหาธาตุ เป็นประธาน เพื่อดำเนินการหาทุนต่อไป
             พระครูประกาศสมาธิคุณ พร้อมด้วย พระอาจารย์ประจวบ อธิปตฺโต วัดมหาธาตุ (ปัจจุบันลาสิกขาแล้ว คือนายประจวบ สาเกตุ) ซึ่งเป็นกรรมการฝ่ายหาทุนอีกรูปหนึ่ง ได้ขอ ความอุปถัมภ์เวลาจากสถานีวิทยุกระจายเสียง กรมการรักษาดินแดน ทำการประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทรัพย์สมทบ ทุนสร้างพระไตรปิฎกฯ สามารถรวบรวมทุนทรัพย์ได้ทั้งหมด ๖๒๕,๑๕๒ บาท และได้นำขึ้นถวายโดยเสด็จพระราชกุศลเพื่อจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฯ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระองค์ ได้พระราชทานทุนทรัพย์จำนวนดังกล่าว ให้แก่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อให้นำไปดำเนินการตามความ ประสงค์ของผู้มีจิตศรัทธาบริจาคต่อไป ซึ่งมหาวิทยาลัยก็ได้นำทุนทรัพย์จำนวนดังกล่าวนี้ ไปใช้จ่ายเป็นค่าจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฯ จำนวน ๑๐ เล่ม คือพระวินัยปิฎก ๗ เล่ม พระสุตตันตปิฎก ๒ เล่ม และพระอภิธรรมปิฎก ๑ เล่ม
             ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้ย้ายสถานที่ตรวจชำระพระไตรปิฎกฯ จากหอปริยัติ คณะ ๑ ไปดำเนินงานที่ห้องมุขชั้นล่างด้านทิศตะวันออกอาคารเรียนมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมกันนี้ พระธรรมปัญญาบดี (กิตฺติสารเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ และสภานายกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แต่ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ ที่พระธรรมรัตนากร ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฯ ชุดใหม่ ประกอบด้วยบรรพชิตและคฤหัสถ์ผู้ทรงคุณวุฒิ มี พระธรรมราชานุวัตร (ทองคำ ธมฺมทฺธโช ป.ธ. ๙) วัดมหาธาตุ แต่ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ ที่ พระเทพเวที เป็นประธานคณะกรรมการฯ แต่การดำเนินงานก็ยังต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคหลายประการโดยเฉพาะการหาทุนมาเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์ ซึ่งขณะนั้นพระครูประกาศสมาธิคุณต้องรับภาระเป็นประธานจัดหาทุนสร้างวัดมฤคทายวันมหาวิหาร ที่ประเทศอินเดีย อีกตำแหน่งหนึ่ง กอปรด้วยสุขภาพของท่านไม่ค่อยดีนัก จึงเป็นเหตุให้การหาทุนมาเป็นค่าจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฯ ต้องอ่อนตัวไปโดยปริยาย
             พ.ศ. ๒๕๒๕ พระธรรมราชานุวัตร (ทองคำ ธมฺมทฺธโช ประธานคณะกรรมการตรวจชำระฯ ได้มรณภาพ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่งได้รับพระบัญชาให้กลับคืนสู่ตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดมหาธาตุ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจชำระฯ ชุดใหม่อีก ประกอบด้วย บรรพชิตและคฤหัสถ์ผู้ทรงคุณวุฒิ คือ

 พระเทพสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙)
พระเมธีสุทธิพงศ์ (ระวัง วชิรญาโณ ป.ธ. ๙, พธ.บ., M.A., Ph.D)
พระราชกิตติโสภณ (ช่วง โชติมนฺโต ป.ธ. ๙)
พระราชเมธี (วรวิทย์ คงฺคปญฺโญ ป.ธ. ๘)
พระสุวิมลธรรมจารย์ (ผ่อง สุวิมตฺโต ป.ธ. ๖)
พระมหาพิณ กิตฺติปาโล ป.ธ. ๙
พระมหาคล้อย กตสาโร ป.ธ. ๙
นายเกษม บุญศรี ป.ธ. ๗
นายแปลก สนธิรักษ์ ป.ธ. ๙
นายสวัสดิ์ พินิจจันทร ป.ธ. ๙
นายปลั่ง บุญศิริ ป.ธ. ๙
นายพิทูร มลิวัลย์ ป.ธ. ๙
นายสิริ เพ็ชรไชย ป.ธ. ๙
นายสังคม ศรีราช ป.ธ. ๙
นายแสวง อุดมศรี ป.ธ. ๖, พธ.บ., M.A
พระมหาโกวิทย์ สิริวณฺโณ ป.ธ. ๔ พธ.บ.
ประธาน
รองประธาน
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ
กรรมการ

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้นิมนต์และเชิญคณะกรรมการฯ ชุดนี้มาประชุม โดยให้ นโยบายและฝากความหวังไว้ว่า การตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เริ่มทำกันมานานแล้ว แต่ก็มีปัญหาและอุปสรรคเข้ามาขัดจังหวะอยู่เสมอๆ ทำให้งานต้องหยุด ชะงักเป็นช่วงๆ และยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้ ขอให้คณะกรรมการฯ ชุดนี้ช่วยกันตรวจชำระให้ละเอียดรอบคอบ เพื่อให้พระไตรปิฎกฉบับนี้ มีความสมบูรณ์และถูกต้องมากที่สุด ถ้าทุกท่านมองเห็นประโยชน์ร่วมกันและยอมเสียสละ เวลาทำงานกันอย่างจริงจังแล้ว การตรวจชำระ และจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับนี้ ก็คงสำเร็จสมบูรณ์ได้ภายในเวลาไม่นานนัก เชื่อว่าตั้งแต่ บัดนี้เป็นต้นไปคงจะไม่มีปัญหาและอุปสรรค อะไรเข้ามาขัดขวางอีกแล้ว
ต่อมาช่วง พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๒๘ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้แต่งตั้งกรรมการฯ เพิ่มเติม อีกหลายท่าน เพื่อเร่งงานตรวจชำระและธุรการให้รวดเร็วขึ้น คือ

 พระสุธีวราภรณ์ (โกศล โกสโล.) ป.ธ. ๙, M.A
พระศรีวิสุทธิโมลี (ชุบ มหาวีโร) ป.ธ. ๙
พระมหามนู สุมโน ป.ธ. ๙, M.A
พระมหาวัน อุตฺตโม ป.ธ. ๙
พระมหาสังคม จิตฺติญาโณ ป.ธ. ๙
พระมหาฟื้น ชุตินฺธโร ป.ธ. ๘
พระมหาประจักษ์ ธมฺมสาโร ป.ธ. ๘
พระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร ป.ธ. ๕, พธ.บ.
พระมหาสุนทร ปญฺญาปทีโป ป.ธ. ๖, พธ.บ., M.A.
พระมหามงคล สิริมงฺคโล ป.ธ. ๖, พธ.บ.
ร.ท. บรรจบ บรรณรุจิ ป.ธ. ๙, พธ.บ.
นายสมควร เหล่าลาภะ ป.ธ. ๙, พธ.บ., M.A.
นายสวัสดิ์ ชาติเมธี ป.ธ. ๗, พธ.บ., M.A.
นายอุทิศ วรรณสัมผัส ป.ธ. ๕, พธ.บ., M.A.
นายคูณศักดิ์ พรหมศรีธรรม ป.ธ. ๕, พธ.บ., M.A.
นายสมศักดิ์ บุญปู่ ป.ธ. ๔, พธ.บ., M.A.

คณะกรรมการฯ ดังกล่าว ได้ร่วมกันตรวจ ชำระด้วยความเสียสละอย่างจริงจัง กอปรด้วยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ หมั่นติดตาม สอบถามผลการดำเนินงานอยู่เสมอๆ จึงทำให้คณะกรรมการฯ ต้องเร่งทำงานให้รวดเร็วเพิ่มมากขึ้น เล่มใดตรวจชำระเสร็จสมบูรณ์ แล้วก็จัดส่งเข้าโรงพิมพ์เพื่อตีพิมพ์ต่อไป โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) รับหน้าที่เป็นผู้หาทุนมาเป็นค่าตีพิมพ์ไปในตัว ด้วย ส่วนพระเมธีสุทธิพงศ์ (ระวัง วชิรญาโณ) รับผิดชอบควบคุมงานตรวจชำระและจัดพิมพ์ ตลอดจนการพิสูจน์อักษร การดำเนินงานแต่ละขั้นตอนดังที่ได้กล่าวมานี้ต้องอาศัยความรู้ความสามารถ ความละเอียดรอบคอบ ความรับผิดชอบ และความเสียสละอย่างสูง เพื่อให้พระไตรปิฎก ฉบับนี้มีความสมบูรณ์และถูกต้องมากที่สุดเป็นสำคัญ
             มหาจุฬาเตปิฏก หรือพระไตรปิฎกฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเริ่มดำเนินการตรวจชำระกันมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๐ ท่ามกลางปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามาผจญ จนสุดที่จะคณานับได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันประเสริฐของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงเจริญ พระราชศรัทธาพระราชทานทุนทรัพย์ส่วน พระองค์ พระองค์ละ ๗๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นพระราชทรัพย์จำนวน ๒๑๐,๐๐๐ บาท ให้เป็น พระบรมราชูปถัมภ์ธรรมวิทยาทานเบื้องต้น สำหรับสร้างพระไตรปิฎกฉบับนี้ กอปรด้วย มโนปณิธานอันแน่วแน่ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) ความรู้ความสามารถและความเสียสละของคณะกรรมการฯทุกคณะ ที่ได้ทุ่มเทให้แก่งานนี้สืบๆ กันมา แรงสนับสนุนและกุศลศรัทธาของพระมหาเถรานุเถระและพุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า ที่ให้การสนับสนุนและบริจาคทรัพย์สมทบทุนสร้างพระไตรปิฎกฉบับนี้สืบต่อกันมาโดยลำดับ จึงทำให้การตรวจชำระและจัดพิมพ์มหาจุฬาเตปิฏก หรือพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำเร็จลุล่วงลงด้วยความเรียบร้อย เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๓ และนับว่าพระไตรปิฎกฉบับนี้ สามารถอำนวยคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ให้เกิดขึ้นได้อย่างครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทั้ง ๓ ประการ ดังเป็นที่ประจักษ์กันเป็นอย่างดีอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว